เมื่อเราพูดถึงการแต่งบ้านแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามต่างก็อยากได้บ้านที่ perfect ที่สวยที่สุดและลงตัวที่สุด ไม่ว่าจะเป็นโทนสี สไตล์การแต่งบ้าน ของต่างๆ เฟอร์นิเจอร์ ผนัง พื้นกระเบื้อง และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือโคมไฟนั้นเอง
ในหลายๆครั้งคนส่วนใหญ่ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับโคมไฟแต่งบ้านน้อยจนเกินไป โดยหารู้ไม่ว่าโคมไฟและลำแสงไฟนี้แหละคือตัวหลักและเป็นตัวการสำคัญที่จะช่วยสร้าง Mood & Tone ให้กับบ้านได้ดีที่สุด แถมเป็นสิ่งที่สามารถทำให้บ้านคุณน่าอยู่ขึ้นอีก 100% หากทำการเลือกและออกแบบไลท์ติ้งได้ดี ฉะนั้นการตกแต่งบ้านที่ดีควรจะคำนึงถึงไลท์ติ้งให้มากและเป็นส่วนสำคัญที่สุดอีกด้วย
โดยวันนี้เราจะมาพูดถึงข้อผิดพลาดที่คนส่วนใหญ่ทำ และบอกวิธีแก้ไขเพื่อให้บ้านของคุณออกมาสวยที่สุดและที่สำคัญ ปัญหาน้อยที่สุดในการก่อสร้างด้วยเช่นกัน มีอะไรบ้างเรามาดูกันเลย !
1. เลือกแบบการตกแต่งบ้านก่อน !
ก่อนที่เราจะเลือกโคมไฟใดๆก็ตาม เราควรจะรู้และเลือกสไตล์การตกแต่งบ้านของตัวเองก่อนเป็นอย่างแรก ซึ่งการที่ทำแบบนี้จะช่วยประหยัดเวลาของเราได้อย่างมาก การที่เลือกสไตล์การตกแต่งก่อนนั้น เจ้าบ้านอย่างเราจะไม่ต้องเจอปัญหาว่าเลือกเฟอร์นิเจอร์หรือโคมไฟมาแล้วแต่ดันไม่เข้ากับแบบบ้านจนต้องเสียเวลาไปเลือกใหม่อีกทีนั้นเอง โดยเฟอร์นิเจอร์และโคมไฟตกแต่งบ้าน หรือ คอนโดนั้นควรจะเลือกไปในทิศทางเดียวกันสไตล์ของบ้านเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นแบบคลาสสิก คอนเทมโพรารี่ โมเดิร์น หรือลักชูรี่ Luxury เมื่อโทนการแต่งบ้านไปในทิศทางเดียวกันแล้ว ยังไงซะบ้านเราก็จะออกมาสวยอย่างแน่นอน ! ฉะนั้นเราควรตัดสินใจก่อนว่าบ้านเราจะแต่งสไตล์ไหนแล้วเราก็เลือกเฟอร์นิเจอร์และโคมไฟในสไตล์เดียวกันนั้นเอง
2. หน้าที่ของแสงไฟแต่ละแบบ
เราควรจะเข้าใจหน้าที่ของแสงไฟแต่ละแบบก่อนว่า แต่ละชนิดต่างกันอย่างไร เพื่อไม่ให้ใช้ผิดเหมือนคนทั่วๆไปแล้วทำให้บ้านเสีย Light and shadow ขาดความ dramatic ลงไป โดยชนิดต่างๆมีตามนี้ :
2.1 ) Ambient Light (แอมเบี้ยนไลท์)
หรือที่หลายๆคนรู้จักกันในนามว่า general lighting คือแสงสว่างทั่วๆไปที่ทำให้เรามองเห็นห้องได้เวลาเดินเข้ามา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะใช้ดาวไลท์เป็นหลักในการทำ ambient light แต่แน่นอนสมัยนี้นักออกแบบภายในเริ่มมีการใช้ไฟเส้น Striplight LED มาใส่ในฝ้าหลืบเพื่อส่องออกมาเป็น Ambient light นั้นเอง แต่หลักสำคัญของ Ambient light ถ้าเราต้องการให้บ้านเราสวยแล้วละก็ เราควรเลือกใช้ ดาวไลท์ ประเภท ( Downlight MR16 ที่มีองศาแสงแคบ 38องศา ) ที่ใส่หลอดเป็น LED เพื่อความประหยัดไฟและยังได้แสงที่สวยเหมือนอยู่ในโรงแรมหรู ร้านอาหารดังอีกด้วย เพราะการใช้ดาวไลท์ MR16 ที่มีองศาแสงแคบนั้นจะทำให้เราสบายตาเพราะพื้นที่ทั้งหมดไม่สว่างจนเกินไป และยังสร้าง Light and Shadow ให้เราอีกด้วย ซึ่งการทำห้องให้เกิด Light and Shadow นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ห้องเราสวย แต่คนส่วนใหญ่ผิดพลาดโดยการใช้แสงให้สว่างเท่าๆกันทั้งห้องเหมือนใน office ทำงาน ซึ่งจะทำให้ห้องขาดคาแรคเตอร์นั้นเอง
รูปตัวอย่างโคมไฟดาวไลท์ MR16 ฝังฝ้าแสงแคบ หากต้องการดูแบบเพิ่มคลิ๊กที่นี่
2.2) Task Light ( ทากส์ไลท์)
หรือจำง่ายๆว่าไฟสำหรับทำกิจกรรมที่ต้องใช้สายตานั้นเอง โดยTask Light นั้นเราจะเน้นติดตั้งที่จุดที่เราต้องการทำงานหรือใช้สายตา ยกตัวอย่างเช่น ที่นั้งอ่านหนังสือ เราอาจจะมีโคมไฟตั้งโต๊ะไว้อ่านหนังสือ นี้ก็คือ task light , หรือเราจะติดตั้ง Striplight LED ที่ใต้ตู้ครัว เพื่อที่จะได้ให้แสงสว่างเราในการทำอาหาร ก็เป้นอีกตัวอย่างของ task Light นั้นเอง , หรือจะเป็นโคมไฟเพดานที่ห้อยลงมาเหนือโต๊ะทำงานก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ Task Light
โดยทั้งหมดนี้มีจุดประสงค์หลักก็คือการให้แสงสว่างเพิ่มเติมกับเราในจุดที่เราต้องการทำกิจกรรมที่ใช้สายตานั้นเอง ซึ่งแน่นอนหากเลือกโคมไฟที่มีรูปแบบที่สวยและโดดเด่นแล้วย่อมทำให้ห้องคุณดูดีขึ้นมานั้นเอง
2.3) Accent Light (แอ็คเซ้นไลท์)
หรือจำง่ายๆว่าเป็นไฟส่วนที่เราต้องการ highlight จุดต่างๆ สร้างความ dramatic ความสวยงาม เน้นการใช้ light and shadow อย่างจริงจังเพื่อให้การออกแบบห้องออกมาได้สวยแบบสุดๆ และนี่คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ขาดไปในการดีไซน์หรือตกแต่งบ้านให้น่าอยู่นั้นเอง ลองดูตัวอย่างห้องบาร์ในโรมแรมด้านล่างที่เราสามารถใช้ Striplight LED 24V Tron มาติดด้านหลังกระจกแผ่นใหญ่เพื่อให้มีแสงเงาหลืบออกมา เป็นการ highlight กระจกได้อย่างโดดเด่นและดูน่าดึงดูด สวยงามเลยทีเดียว
และนี่คือตัวอย่างการใช้ Accent Light ในการตกแต่ง หากต้องการดูไฟที่ใช้ในการทำสามารถคลิ๊กได้ที่นี่
2.4) Decorative Light (เด็คโคเลทีฟไลท์)
หรือที่เรารู้จักกันในนามโคมไฟตกแต่งนั้นเอง โดยหลักสำคัญของการใช้ Decorative light นั้นหน้าที่หลักก็คือใช้ตกแต่ง เสมือนเป็นเฟอร์นิเจอร์ชนิดหนึ่งของบ้าน และใช้ไฟแสงสว่างที่ไม่มากจนเกินไปจนทำให้ปวดตา เพราะที่สุดแล้วหน้าที่หลักของ Decorative light หรือโคมไฟตกแต่งก็คือการทำให้พื้นที่สวยขึ้นด้วยดีไซน์ของโคมไฟที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์น่ามองนั้นเอง แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจและทำผิดพลาดทำให้บ้านไม่สวยก็คือการที่ใช้ Decorative light มาใช้เป็นฟังชั่นของ Task Light นั้นเอง ซึ่งคนส่วนใหญ่ใช้ไฟกำลัง Watt และ Lumen ความสว่างไฟที่สูงมากเพื่อให้แสงสว่างในการทำงาน แต่ปัญหาก็คือด้วยแสงไฟที่จ้าจนเกินไปจะทำให้เรามองไม่สบายตาและ Decorative light ของเราก็สูญเสียความเป็นเอกลักษณ์ไปนั้นเอง ฉะนั้น Design ที่โดดเด่นจึงเป็นตัวเลือกหลักในการเลือก decorative light นั้นเองและไม่ควรใช้แสงไฟที่สว่างจนเกินไปจนรู้สึกว่ามองแล้วไม่สบายตา
และนี่คือตัวอย่างของการใช้ Decorative Light อย่างเหมาะสม เข้ากับรูปแบบการตกแต่งหลักของห้อง หากต้องการดูโคมไฟตกแต่งสามารถคลิ๊กได้ที่นี่
3. อย่าสว่างจนเกินไป
แน่นอนเราฟังกันไม่ผิดหรอก อย่าใช้แสงสว่างจนเกินไปนั้นเอง คืออีกหนึ่งเทคนิคที่จะช่วยให้บ้านเราสวยขึ้น ที่เรากำลังพูดถึงและจะย้ำอยู่เสมอก็คือ โคมไฟที่เป็น Decorative Lamp นั้น ไม่ควรใช้แสงสว่างจ้าจนมองแล้วรู้สึกไม่สบายตา หากเป็นโคมไฟที่โว์หลอดไฟ ตัวหลอดเองก็ควรได้รับการเคลือบทองเพื่อไม่ให้แสงที่ออกมาจากหลอดบาดตาเราและควรเลือกหลอดแสงวอร์มไวท์ (Warmwhite 3000k) เพื่อให้ความรู้สึกสบายตาอีกด้วย
ตัวอย่างการใช้หลอดที่สว่างพอดีด้วยแสง Warmwhite หากต้องการดูโคมไฟตกแต่งเพิ่มสามารถคลิ๊กได้ที่นี่
4. การเลือกใช้ Master Piece
แน่นอนในบ้านของเราหนึ่งหลังเราสามารถที่จะติดโคมไฟได้หลากหลายที่ อาทิเช่น ไฟติดเพดานโถงทางเข้าบ้าน โคมไฟตั้งโต๊ะบนโต๊ะทำงาน โคมไฟตั้งพื้นข้างโซฟา โคมไฟผนังตามทางเดิน โคมไฟคริสตัลเหนือโต๊ะกินข้าว โคมไฟห้อย เหนือโต๊ะรับแขก โคมไฟระย้าตรงโถงบันได ซึ่งเราสามารถติดได้หลากหลายที่ แต่อย่างน้อยที่สุดที่เราควรจะมีเพื่อให้บ้านเราสวยหลุดออกมาจาก magazine คือตรง โคมไฟเหนือโต๊ะกินข้าว โคมไฟตรงโถงบันได และโคมไฟตรงห้องนั้งเล่นนั้นเอง ซึ่งจุดนี้แหละที่เรากำลังจะเรียกว่า Master piece
หลายคนเข้าใจผิดว่าโคมไฟ Master Piece ต้องเป็นโคมไฟใหญ่ๆชิ้นเดียวเลย แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย ถึงแม้การใช้โคมไฟใหญ่ชิ้นเดียวเลยต่อจุดอาจจะเป็นวิธีที่ใช้กันแพร่หลาย แต่หากเราต้องการบ้านให้ดูดีมี Style มากขึ้นเราสามารถที่จะใช้โคมไฟห้อยตัวที่มีขนาดเล็กหน่อยหลายๆโคมมาห้อยรวมกันเล่นระดับ เพื่อสร้างเอกลักษณ์ของห้องเราให้โดดเด่นและไม่เหมือนใครได้
ตัวอย่างการใช้โคมไฟ Master Piece ชิ้นใหญ่ชิ้นเดียว เหนือโต๊ะกินข้าว สร้างความ dramatic ได้ดีเลยทีเดียว
อีกตัวอย่างการใช้โคมไฟหัวเดียว 3 โคม มาทำ Master Piece ก็ลงตัวเช่นกันแถมมีเอกลักษณ์เฉพาะ ไม่ซ้ำบ้านอื่นๆ
5. Interior Designer ผู้ออกแบบภายในและปรึกษาผู้ชำนาญ
สิ่งที่คนส่วนใหญ่พลาดคือการที่แต่ละคนคิดและออกแบบเองโดยไม่ได้จ้างหรือขอความช่วยเหลือจากใคร สิ่งที่เราเห็นอยู่บ่อยๆคือ เมื่อเราไม่มีทิศทางที่แน่นอนของการออกแบบตกแต่ง โอกาสที่ห้องจะออกมา perfect ก็ค่อนข้างยากเช่นกัน แม้ว่าบางคนอาจจะมีหัวศิลปะ และสามารถเลือกสิ่งที่ดี สไตล์ที่ได้ มาตกแต่งบ้าน แต่ว่าอีกหลายคนก็อาจจะมีปัญหาในการออกแบบคิดภาพในหัวเช่นกัน ฉะนั้นเราจึงแนะนำให้ขอคำแนะนำจากผู้ออกแบบภายใน หรือ interior designer แต่หากว่าเรากำลังต้องการที่จะประหยัดงบหรือเป็นคนที่ชอบการแต่งบ้านเองแล้วละก็ สามารถปรึกษาเรา ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องโคมไฟมากว่า 25 ปี พร้อมทั้งมาตรฐานสินค้าที่ดีและสาขากว่า 15สาขาทั่วประเทศ พร้อมบริการหลังการขายที่ดี และรับประกันสินค้าทุกตัว คลิ๊ก Add Friend เพื่อคุยกับเราได้เลย
หากท่านใดอยากหาที่ปรึกษา ในการเลือกซื้อโคมไฟ ขอแนะนำ LAMP & LIGHT ผู้เชี่ยวชาญด้านโคมไฟ และ มีโคมไฟให้เลือกมากที่สุดในประเทศ สามารถ แวะชมได้ที่ www.lampandlight.com หรือสาขาใกล้บ้านคุณ LAMP & LIGHT by Prowork : Unlock Your Lighting Imagination
เลือกชมโคมไฟคุณภาพดี กับสไตล์ที่โดดเด่น ในราคาสบายกระเป๋า คลิ๊ก:
#Lamp #โคมไฟ #โคมไฟลอฟ #โคมไฟวินเทจ #โคมไฟเพดาน #โคมไฟสวย #โคมไฟหรู #โคมไฟผนัง #โคมไฟตั้งโต๊ะ #chandelier #โคมไฟแชนเดอร์เรีย #โคมไฟโมเดิร์น #modernlamp #luxury #โคมไฟดาวไลท์ #downlight #โคมไฟสั่งผลิต #custommadelamp
ขอบคุณภาพจาก : davincilifestyle.com
Comments